"สังขละบุรี"
เราเชื่อว่าหลายๆคนเคยได้ยินชื่อนี้แน่นอน...เฮ้ยต้องเคยได้ยินสิ ถ้าไม่เคยนี่เอ๊าท์มาก ไปอยู่ไหนมายูววววว แต่ไม่เป็นไรนะ เราจะบอกคุณเอง ใครไม่รู้ต้องอ่าน ส่วนใครที่รู้แล้วก็อยากให้อ่าน เพราะ "สังขละบุรี" ชื่อนี้มีแต่ความอร่อย (ไม่ใช่!)
ถามว่าสังขละบุรีมีกิจกรรมอะไรน่าสนใจ.....
ติ๊กต่อกๆ
ปีนเขาหรอ?
...ไม่มีอ่ะ....
มีทะเลบ่???????
...ไม่มีอีก...
สวนน้ำล่ะ มีไหมๆ
...จะไปมีได้ไง!...
ดำน้ำดูประการัง เรียนแต่งหน้า นั่งสมาธิ....บลาๆๆๆ ฉ่อดๆๆๆ วี๊ว่อวี๊ว่ออออออ
โอ๊ย! บอกให้เลยแล้วกัน
สังขละบุรี อำเภอเล็กๆในจังหวัดกาญจนบุรี ที่ดูเหมือนจะไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากใช่ไหม
แต่พอได้เหยียบเข้าไปในเขตตัวอำเภอเท่านั้นแหล่ะ
... เหมือนอยู่คนละโลก...
ธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีมลพิษเจือปน
ถามว่า เฮ้ยยย ขนาดนั้นเลยหรอ กาญจนบุรีเอง จะไปธรรมชาติเท่าปีนเขา unseen ที่ภาคเหนือ 200 ลูกแบบ ฮาร์ดๆ ได้ไงแก
ขอตอบว่า...เรื่องจริงไม่ติงนังค่ะท่านผู้ชม
นี่แค่วิวระหว่างทางจากอำเภอทองผาภูมิ สู่ อำเภอสังขละบุรีเองนะ เห็นไหม ต้นไม้เขียวชอุ่มพุ่มไสวอยู่ลิปๆ
ก่อนจะบรรยายถึงกลิ่นอายธรรมชาติ ขอเกริ่นถึงการเดินทางกันก่อนว่า...
เรานั่งรถตู้จากอนุเสารีย์ฯ ตอน 6.00 (ค่ารถ 120 บาท) รถออกตอน 6.30 ถึง บขส กาญจนบุรีตอน 8.30 ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเอง จิ๊บๆ
...แต่ยังค่ะ...
การเดินทางพึ่งจะเริ่มต้น....
ก็เราต้องไปต่อรถหวานเย็นไปที่อำเภอสังขละไงแกกกกกก รถหวานเย็นสีแดง สีแดงเท่านั้น
รถออกตอน 9.20 โดยพี่หวานเย็นจะพาเราไปถึงอำเภอสังขละบุรีโดยสวัสดิภาพ แบบรวดเดียวจบ สบายๆ ในราคาคนละ 150 บาท...นั่นคือสิ่งที่เราคิด...
แต่เดี๋ยวก่อน...
ระหว่างทาง ฝนตก เย็นสบาย รถหวานเย็นที่ไม่มีแอร์ ลมและฝนจึงถาโถมเข้ามาในชีวิตเราแบบ อั่ก!
นั่นไม่ใช่ประเด็น... ประเด็นคือ เหตุไฉน เมื่อถึงอำเภอทองผาภูมิ ทำไมหนูต้องลงจากรถ? เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งหลายกิโล อยู่ๆพี่มาบอกว่า "หนูๆ หนูต้องรอเปลี่ยนรถไปขึ้นอีกคันนะ"
ใช่แล้วค่ะ!
อุตส่าห์คิดว่าจะนั่งสบายๆ ยาวไปถึงสังขละ ฝนก็ตกพรำๆ กบก็ร้องงึมงำ โอ๊ย ณ ตอนนี้เวลา 13.00 น. ยังไม่ถึงสังขละอีกกกกกกกกก...นั่นแหล่ะเราก็บ่น งึมงำเหมือนกบ - -;
ซักพักรถที่ไปสังขละก็มารับเราและผองเพื่อน (รุ่นพ่อ) ร่วมชะตากรรม (ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทย คิดว่าน่าจะเป็นคนพม่า) ดูวังเวงมากในรถมีอยู่ 4 คน
โอเค รถก็มุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอสังขละบุรีเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ฝนก็เริ่มหยุดตก (ตอนฝนตก เห็นหมอกด้วย ตอนแรกคิดว่าฝุ่นและควัน แต่จริงๆคือหมอกกกก เด็กกรุงเทพที่เกิดมาพึ่งเคยเห็นหมอกเยอะๆในขุนเขาอย่างเรา ตื่นเต้นมาก ฮ่าๆ)
ระหว่างทางเราไม่หลับเลยนะ มองดูวิวนอกหน้าต่างรถแบบตื่นเต้นมาก ยิ่งใกล้เข้าสู่อำเภอสังขละบุรีมากเท่าไหร่ วิวข้างทางเริ่มมีแต่ต้นไม้ ป่า ล้อมรอบด้วยเขา มากเท่านั้น เราจึงยกกล้องขึ้นมาหวังจะเก็บภาพข้างทางไว้เป็นความทรงจำ
แต่.... (เอาอีกละ)
กล้องเหมือนถูกเปิดค้างไว้ จนทำให้ตัวกล้องร้อนมาก และขึ้นหน้าจอดำๆ ทำอะไรไม่ได้เลย .______.
เฮ้ย! กล้องพังหรอ เฮ้ย!!!
สต่งสติหายหมด จนแฟนเราผู้ที่มีสติกว่าเรา ก็เอากล้องไปถอดแบตออก ซักพักกล้องก็เย็นลง
โอเค เปิดได้ละ (ไม่ได้กลัวว่ากล้องจะพัง แต่กลัวว่าไม่มีกล้องมาถ่ายรูปในทริปนี้มากกว่า)
เราก็เลยได้ภาพนี้มา...ภาพที่ดีที่สุดจาก 200 รูปที่กดชัตเตอร์รัวๆ ฮ่าๆๆๆ
อ้าว สรุปนี่มารีวิวเที่ยวจูราสสิคปาร์คหรอ... ไม่ใช่! แต่เหมือนมาก ตอนเห็นก็คิดๆ อยู่ว่า อาจจะมีทีเร็กซ์เดินออกมา แฮร่! ก็เป็นได้...
ด้วยความที่รถหวานเย็นมันเป็นรถพัดลม เปิดหน้าต่าง เราเลยได้กลิ่นอายของธรรมชาติแบบเต็มปอด เอ้า สูดเข้าไป สูดเข้าไป หวังว่าจะช่วยล้างพิษจากฝุ่นกรุงเทพฯ ที่สะสมอยู่ในปิดเราได้บ้าง
กลิ่นมันแบบ เนเชอรัลมากเลยแก มันชุ่มชื้น มันกลิ่นเขียวๆ มันรู้สึกได้ถึงฟีลต้นไม้ใบหญ้า แล้วยิ่งหลังฝนตก กลิ่นมันสดชื่นมากๆ จนเราลืมไปว่า นี่เราอยู่แค่กาญจนบุรีเองนะ
จนในที่สุด ระยะทางหลายสิบกิโลเมตร เราก็เข้าสู่อำเภอสังขละบุรีซักที ถึงตอน 16.00 คือจากแค่ บขส กาญฯ ถึงนี่เกือบ 5 ชั่วโมง! โอ๊ย อะไรจะนานขนาดนั้นอ่ะ แค่เดินทางระหว่างอำเภอ เหมือนเดินทางข้ามจังหวัด!
เมื่อมาถึง เราก็ต้องมาดูหนทางกลับบ้านของเราก่อนเพื่อความสบายใจ อันนี้คือตารางคิวรถจากสังขละฯ ถึง กรุงเทพ คือเป็นรถทัวรนั่งยาวๆถึงหมอชิตเลย
ด้วยความรู้สึกกลัวแบบขามาที่จะนานไปไหน นี่ไม่เอาละ แต่ใครอยากแอดแวนเจอร์ลุยๆ ลำบากๆฮาร์ดๆ หน่อยก็ขึ้นรถหวานเย็นกลับไปตัวกาญฯ เหมือนขาที่เรามาก็ได้นะ ท่ารถอยู่แถวเวิ้งนั้นแหล่ะ ท่ารถที่ใหญ่ที่สุดแล้วในอำเภอสังขละบุรี
จากนั้นเราก็เรียกพี่วินมอไซค์แถวๆ ท่ารถ (ท่ารถอยู่ใกล้ตลาดเลย สะดวกมาก) ไปส่งเราที่ ไฮกุ เกสท์เฮาส์ (Haiku Guesthouse)
แท๊แด่นนน~ หน้าตาที่พักเป็นเช่นนี้
ข้อมูลที่พัก
106 ม.1 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี 71240
โทร : 087 519 9150
บ้านพักเล็กๆ อบอุ่น สไตล์ไทยผสมญี่ปุ่น ราคาหลักร้อย (คืนละประมาณ 600 บาท เอง ที่พักมีห้องน้ำในตัว ห้องน้ำกว้างขวางมากด้วย) ตอนที่เราไปรู้สึกจะมีห้องอยู่แค่ 4 ห้อง แต่เราเห็นด้านหลังเค้ากำลังทำที่พักเพิ่ม ก็คงจะมีห้องพักเพิ่มอีก
ด้านหน้าที่พักเป็นร้ากาแฟที่ขึ้นชื่อมากที่สุด ฮิปมากที่สุดในอำเภอ ชื่อว่า Kaf Kafe เจ้าของเดียวกับโทนาฟ...ไม่ใช่ หมายถึงเจ้าของเดียวกันกับที่พักนั่นแหล่ะ
ใครมาพักที่นี่ก็มานั่งจิบกาแฟชิวๆ ได้เลย หรือดึกๆ ก็มานั่งชิวจิบอะไรอุ่นๆ ก่อนอนก็ได้ เห็นมะ สโลว์ไลฟ์มากกกกกก
เราเข้าไปเก็บของ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ไปเช่ามอเตอร์ไซค์ ที่ P Guesthouse สถานที่ที่สามารถเช่ามอไซค์ได้แห่งเดียวในอำเภอ สะดวกมากเพราะอยู่ตรงข้ามที่พักเราเอง จะเช่าจะคืนก็ง่ายดาย ค่าเช่าวันละ 100 บาท เราเช่าสำหรับ 2 วัน คือวันนี้ กับวันพรุ่งนี้ (ถ้ามาในช่วงเทศกาลแนะนำว่าควรโทรจองไว้ก่อน เพราะการเช่ามอเตอร์ไซค์ที่นี่ฮอตฮิตมาก)
เมื่อได้มอไซค์มาแล้วเราก็แว๊นไปตลาดกันค่ะ หิวมากกกกกกกกกก นั่งรถมาหลายชั่วโมง ไม่ได้กินอะไรเลย
ไหน~ ตลาดมีอะไรกินคะ...จะขับรถวนรอบตลาดทำไม 3 รอบ ในเมื่อก็กินตามสั่งง่ายๆ คือจอดรถกินตั้งแต่แรกก็ได้ไหมอ่ะ หรือไง? หรือต้องวนดูก่อนเป็นพิธีอ่ะ? ฮ่าๆๆๆ
เราก็สั่งนี่มา
คือตรงด้านหลังตลาดจะมีร้านตามสั่งเรียงกันหลายร้าน ร้านนี้คือร้านไหนจำชื่อร้านไม่ได้ แต่ป้ายร้านไม่มีคำว่า "ผัดกบ" นั่นแหล่ะ ก็เลยเลือกร้านนี้ ฮ่าๆๆๆ สั่งอาหารได้เบสิคมาก แต่อร่อยมาก ไม่รู้คนอื่นกินจะว่าไง แต่เราว่ามันอร่อย หรือเรากินได้ทุกอย่างก็ไม่รู้ ราคาไม่แพงด้วย ถูก อร่อย อิ่ม
พอกินเสร็จ ตอนนั้นช่วง 5-6 โมง ตรงนั้นก็มีตลาดนัดด้วย ไม่แน่ใจว่ามีทุกวันหรือเปล่า มันคือตลาดนัดแบบเบสิค ตลาดนัดที่มักจะมีขนมจีนน้ำยา มีขนมครก มียำต่างๆ บลาๆๆ
และมี...
"หมูจุ่มพม่า"
ฮั่นแน่~ หมูจุ่มพม่าไม้ละบาท ที่ขึ้นชื่อ ไม่ต้องข้ามไปกินฝั่งพม่าก็ได้ แปะไว้ก่อน วันนี้อิ่มมาก พรุ่งนี้เจอกันแน่ เจ้าหมู่จุ่ม!!!!
พอกินเสร็จเราก็คิดว่า ควรหาอะไรทำย่อยกระเพาะอาหาร ก็เลยลองขับรถสำรวจพื้นที่ดู (ตอนมืดๆเนี่ยนะ) ที่นี่มืดเร็วมาก ทุ่มกว่าๆ ก็มืดมากๆ แล้ว แต่เราก็บ่หวั่น ขับรถไปสำรวจทางไปสะพานมอญ เพราะพรุ่งนี้เราจะไปสะพานมอญกัน! เย้!!!!
แต่...
ทำไมมันมืดๆ ข้างทางคือหญ้ารกชัน ดูแล้วได้ฟีลเหมือนฉากโดนล่าในหนังผี
มาผิดทางหรือไม่ อย่างไร...พอสุดทาง ค่อยโล่งอก เจอแล้วทางไปสะพานมอญ แต่ทางมันชันมาก มืดมากด้วย ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาแล้วกัน ก็เลยขับรถย้อนกลับไปทางถนนใหญ่ ถนนที่รถหวานเย็นขับเข้ามาอำเภอสังขละ ถนนใหญ่ก็โล่งมากกกก
เรามุ่งหน้าไปทางสะพานปูน (อยู่ขนาบกับสะพานมอญ ซึ่งเป็นสะพานไม้ คนเดินได้อย่างเดียว) แต่สะพานนี้เป็นสะพานที่รถวิ่งได้ ถ้าใครจะไปฝั่งหมู่บ้านมอญด้วยรถ ก็ต้องมาทางนี้
เราขับไปจนถึงจุดชมวิว ก็เจอคนดูแล เราเลยถามเค้าว่าที่หมู่บ้านมอญมีตลาดอะไรงี้ไหม ไปหมู่บ้านมอญต้องไปยังไง (คนดูแลไม่ใช่ผีนะ บอกไว้ก่อน เผื่อใครตื่นเต้น ฮ่าๆๆ)
เค้าบอกว่าต้องขับรถไปทางนี้...พร้อมกับชี้ไปในความมืด...มันแบบมืดจริงๆนะ เป็นทางมืดๆ ที่มีต้นไม้เขียวๆ สูงๆอยู่สองข้างทาง เราเลยแบบไม่ไปดีกว่า ไว้พรุ่งนี้สว่างๆ ค่อยมา ตอนนี้ก็สองทุ่มแล้ว เราก็กลัวเหมือนกัน
ก็เลยขับรถกลับที่พัก ไปนอนเอาแรงดีกว่า วันนี้เหนื่อยมาก เหนื่อยกับการนั่งรถตูดแฉะมาก ฝันดีราตรีสวัสดิ์ คร่อก... zzZZ
เอ้ก อี้ เอ้ก เอ้ก
เรื่องจริงไม่มีไก่ขงไก่ขันใดๆ ทั้งนั้น เพราะเราตื่นตั้งแต่ ตี 5!!! ถามว่าตื่นมาทำอะไร
แท้แด๊นนนน
ตื่นมาแต่งหน้า ฮ่าๆๆๆๆ
ไม่ได้ๆ วันนี้เราจะไปถ่ายรูปเมคโปรไฟล์ที่สะพานมอญ หน้าต้องดี~
ตลกตัวเองมาก มาเที่ยวสบายๆ แต่ก็แบกเครื่องสำอางค์มาเต็มกระเป๋า (ดูขัดกับความอยากสโลว์ไลฟ์มาก)
อาบน้ำ แต่งตัว กว่าจะออกจากที่พักก็ ตอน 6 โมงกว่าๆ
จริงๆ มืดกว่านี้ แต่เปิดแฟลช เงียบมากเลย
เราก็แว๊นไปสะพานมอญ ทางเดียวกันกับที่เมื่อวานมาสำรวจ แต่ทางลงไปสะพานมอญแคบมาก แล้วก็มีพระบิณฑบาตรด้วย เลยจอดรถไว้แถวทางลง แล้วก็เดินลงไป ระหว่างทางเจอดอกไม้ และชุดใส่บาตร เลยอุดหนุนน้องหนูชาวพม่ามาชุดนึง
เราให้แฟนเป็นคนใส่บาตรพระตรงบริเวณทางลงนั้น จากนั้นเราก็เดินลงไปเรื่อยๆ กะว่าจะถ่ายรูปตรงสะพานมอญ แต่ก็เห็นชาวบ้านใส่บาตรกัน เราก็อยากใส่ด้วย ก็เลยใส่บาตรกันอีกรอบ
หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นบนสะพานมอญ นักท่องเที่ยวเยอะเหมือนกัน แม้จะไม่ใช่ช่วงฤดูท่องเที่ยวเท่าไหร่ (ลืมบอกว่าเราไปมาเมื่อปีที่แล้ว เดือนกันยายน)
หลังจากเราถ่ายรูปนี้เสร็จ ก็มีคนมายืนรอต่อคิวกันถ่ายมุมนี้เต็มเลย เราก็นั่งเก๊กนานไม่ได้นะคะ เดี๋ยวโดนรุม มุมสวย มุมดี มุมชิค เราต้องแบ่งปัน ฮ่าๆๆๆ
ภาพที่เห็นอาจจะมีฟิลเตอร์มากไปหน่อย แต่เพื่ออรรถรส นึกออกไหม ว่าแบบบรรยากาศแบบนี้ สีควรจะหม่นๆ เข้มๆ ดูขลังๆ เพิ่มอารมณ์ว่าแบบ เฮ้ยยยย เมืองลับแลไหมล่ะ...
ยืนๆ อยู่มีตัวนี้มาเกาะแขน คือตัวอะไร?
รีบถ่ายมาก เพราะคนเดินเยอะมาก มีความรูปเอียง ช่างมันเถอะนะ ฮ่าๆๆๆ
ทุกคนวุ่นวายอยู่กับการถ่ายรูปกันเอง เราเลยไม่รู้จะให้ใครถ่ายรูปคู่ให้ ก็เลยได้รูปนี้มา ก็ฮิปๆ ไป ไม่มีไรมาก
จากนั้นเราก็ข้ามมาถึงหมู่บ้านมอญ ข้ามมาถึงก็เห็นขนมนี่เลย สะดุดตามาก
เดี๋ยวนะ ควรโฟกัสขนม ฮ่าๆๆ ขนมอะไรไม่รู้ เหมือนโดนัท แต่รสชาติแบบแป้งทอด ที่ราดด้วยน้ำเชื่อมหวานๆ อร่อยอ่ะ ชอบบบบ (อีกแล้ว)
ตอนแรกกะว่าจะรอตักบาตรพระตรงฝั่งนี้ แต่ฝนตกซะก่อน เลยเข้าไปหลบอยูในร้านโจ๊ก แน่นอนว่าการหลบอยู่ในร้านอาหาร เราก็ต้องกินอาหารเค้าสิ จัดมาเลยค่ะ
อาหารมื้อแรกของวัน โจ๊กหมูใส่ไข่ โอวันตินร้อน และปาท่องโก๋ (ที่กรุงเทพฯ ไม่มีหรอแก...แต่ไม่ใช่ไง บรรยากาศเปลี่ยน สถานที่กินเปลี่ยน รสชาติก็เปลี่ยน)
พอเรากินเสร็จ ฝนก็หยุดตกนะ แต่พระก็ยังไม่มาซักที ก็งงเหมือนกันว่าสรุปวันนี้พระจะออกมาบิณไหม (บิณฑบาตร) ก็เลยคิดว่ากลับเลยดีกว่า ก่อนกลับเราก็แวะซื้อโปสการ์ด เขียนส่งกลับบ้านตัวเอง
เวลาไปไหนเราจะชอบเขียนโปสการ์ดส่งหาตัวเองมาก เพราะมันจะแปะแสตมป์ว่าส่งมาจากที่ไหน พอเวลาผ่านไป ได้ย้อนกลับมาดู เราก็จะอ้อออออ...ลายมือตอนนั้นอุบาทว์ขนาดนี้นี่เอง (ใช่หรอ? ฮ่าๆๆๆ)
แต่ทางกลับเราไม่ได้กลับทางสะพานมอญขามา เราเดินกลับทางสะพานเก่า (สะพานที่อยู่ข้างๆ เป็นแพๆ) แล้วก็ซื้อปลามาปล่อย
สะพานมอญที่มองจากสะพานแพ (เรียกว่าอะไรไม่รู้ เราขอเรียกแบบนี้แล้วกัน) มีเด็ก (คนดีคนเดิมกับที่หลายๆคนเจอ) โดดน้ำโชว์ด้วย น้องเฟรนลี่มาก แล้วน้องก็ได้ค่าขนมก่อนไปโรงเรียนจากคนที่มาดูโชว์ด้วยแหล่ะ เจ๋งมากๆเลย
จากนั้นเราก็กลับที่พัก ไปนอนพักเอาแรงซัก1 ชั่วโมง ก่อนออกมานั่งกินกาแฟที่ Kaf Kafe
จากนั้นก็ขับรถออกไปหาข้าวกลางวันกินกัน แต่วันนี้ไม่วนรถสามรอบแบบเมื่อวานแล้ว เพราะเราเจอนี่!
แทแด๊นนน~
ร้านส้มตำ! เราว่าร้านนี้ต้องอร่อย เพราะร้านลักษณะนี้มักจะอร่อย (ไม่มีตรรกะอะไรทั้งสิ้น ใช้ความรู้สึกล้วนๆ)
จากประสบการณ์การเดินทางหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เรามักจะต้องกินส้มตำกันทุกครั้ง ไม่ว่าจะไปเกาะช้าง ไปเชียงใหม่ หรือมาที่นี่ คือเรียกง่ายๆ ว่า ต่อให้จะไปขึ้นเขา ลงห้วย หรือไปทะเล อาหารร้านดังประจำถิ่นแค่ไหน เราก็ไม่สน เราต้องกินส้มตำเท่านั้น!!! ไม่งั้นเราอยู่ไม่ได้!!!!!!!!
และร้านนี้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะอร่อยมากกกกกกก!!! ก. ไก่ล้านตัว ร้านอยู่ข้างทาง ตรงมาจากที่พักเกือบถึงถนนใหญ่ คือยู่หน้าตลาดเลยนั่นแหล่ะ
เอาล่ะทีนี้ เราก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ บอกตรงๆ ว่าทีแรกตั้งใจมาแค่สะพานมอญ อยากมาแค่นั้น แต่ในเมื่อตอนนี้มันว่าง เวลาเหลือเฟือมากๆ เพราะนี่ก็พึ่งจะเที่ยงเอง เราก็เลยตกลงกันว่า งั้นขับรถเล่นไปเรื่อยๆ แล้วกัน
นี่คือสะพานปูน ที่เราเมื่อวานตอนหัวค่ำ มารู้วันนี้ว่ามันชื่อ สะพานซองกาเรีย และแม่น้ำที่เห็นข้างล่างนี้ก็คือ แม่น้ำซองกาเรียนั่นเอง ที่เห็นคือข้างหน้าเป็นทางไปหมู่บ้านมอญ (แบบอ้อมๆ)
จากมุมมองทางด้านสะพานซองกาเรีย ก็จะเห็นสะพานไม้ ดูอากาศดีมากเลยในรูป แต่ความจริงคือแดดร้อนมากเลย ฮ่าๆ
มองมาอีกฝั่งหนึ่ง ก็จะเห็นวิวแบบนี้ สวยมากๆ ธรรมชาติที่ยังหลงเหลืออยู่ เหมือนเวลาถูกหยุดไว้ ณ แห่งนี้ ที่เดียว...
เรือหางยาวผ่านมาพอดี เราเลยได้ภาพสวยๆ อีกภาพหนึ่ง...
เราขับรถมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ จนไปเจอทางไปวัดวังก์วิเวการาม ก็คิดว่าเอ้ยยยย ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้ไหว้พระเลย จนพรุ่งนี้จะกลับอยู่แล้ว เราก็เลยเข้าไปสักการะซักหน่อย
แล้วเราก็ขับรถกลับมาที่พัก ออกไปฝากท้องกันที่ตลาดอีกวัน!!!
วันนี้ล่ะ เรามาเพื่อกินหมูจุ่มมมมมมมมมม!!!!! (ดูยิ่งใหญ่มากกับเรื่องกิน)
แต่แบตกล้องหมด เราเลยใช้มือถือถ่ายไว้ ภาพก็...นั่นแหล่ะ
บรรยากาศร้านหมู่จุ่มพม่า เห็นบ้านๆ แบบนี้นี่แหล่ะอร่อย! ขอให้ได้ลอง เราไม่กินเครื่องใน กินแต่เนื้อหมู แล้วหมูในหม้อแม่ค้าก็เสียบไม้ไม่ทันเรากิน เราเลยสั่งเป็นเนื้อหมูแยกถ้วยนึง แบบสั่งเนื้อหมู 100 บาท มาหลายถ้วยมาก (ใครขี้เกียจรอแม่ค้าเสียบหมู ก็ทำแบบเราก็ได้ ไม่จุ่มแต่อร่อยเหมือนกัน)
เอาจริงๆ คือรสชาติแบบขาหมูบ้านเรา จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ด แต่นึกฟีลออกไหมว่า หมูร้อนๆ น้ำซุปร้อนๆ (น้ำซุปรสเหมือนหมูแดง) จิ้มน้ำจิ้มแซ่บๆ ท่ามกลางบรรยากาศร้อนๆ ในตลาด มันฟีลกู๊ดมากเลย
อย่าคิดว่าเรากินแค่นี้จะอิ่ม ฟาดหมูไปหลายร้อยก็จริง เราก็ยังคงหาอะไรกินต่อ เราไปนั่งกินขนมจีนน้ำยา ต่อด้วยขนมครก คือเราต้องอิ่มอ่ะ! ถึงจะนอนได้ ไม่งั้นไม่กลับไปนอน ฮ่าๆๆๆ
พอหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน ก่อนอื่นคือ ขับรถไปเติมน้ำมันคืนร้านก่อน ที่นี่ไม่มีปั๊มนะจ๊ะ มีแต่ปั๊มมือถือ ลักษณะแบบตู้เติมเงินโทรศัพท์ แบบนี้ แล้วเราก็แลกเหรียญกับป้าร้านขายของข้างหลังนั่นแหล่ะ
แล้วก็ขับรถไปคืนที่ P Guesthouse เหมือนเดิม
ตื่นเช้ามาตอน 7.30 อาบน้ำ แต่งตัว เก็บของ เช็กเอาท์ แล้วก็ให้ลุงเจ้าของที่พักเรียกพี่วินมารับ พี่วินพามาส่งที่ตลาด ก็บึ่งไปซื้อตั๋วรถทัวร์ก่อนเลยจ่ะ รอบ 9.00 ราคาคนละ 230 บาท นั่งยาวๆ ถึงกรุงเทพเลย
จากนั้นก็ไปกินข้าวร้านตามสั่ง เจ้าเดิม
เมนูเบสิค แต่อร่อยเหมือนเดิม ก่อนจะขึ้นรถ รถออกตอน 9.20 มีแวะให้เข้าห้องน้ำที่ทองผาภูมิ 15 นาที แล้วก็ยิงยาวถึงหมอชิต ตอน 16.15
ใครอ่านถึงตรงนี้บ้าง...
เราจะดีใจมากเลยถ้ามีคนอ่านจบ ฮ่าๆๆ
สำหรับหลายๆ คน อาจจะคิดว่า สังขละบุรีมีที่เที่ยวเยอะกว่านี้ ไปได้หลายที่กว่านี้
ก็โอเคนะ เช่น ข้ามไปฝั่งพม่าก็ได้ หรือไปดูวัดจมน้ำก็ได้
แต่สำหรับเรา เราตั้งใจมาพักผ่อน อยากออกจากกรุงเทพฯ มาสูดอากาศบริสุทธิ์
นั่นคือสาเหตุที่เราเลือกอำเภอสังขละบุรี อำเภอเล็กๆ แห่งนี้
สำหรับเรา เราไม่ชอบความลำบากอะไร แล้วเราก็ไม่ใช่คนที่ลุยๆ
การเดินทางของเราจึงไม่ได้ประหยัด ไม่ได้ลำบาก หรือมีเรื่องราวน่าตื่นเต้นเหมือนคนอื่นๆ
...
การเดินทางไม่มีนิยาม...ไม่จำเป็นต้องประหยัด...และไม่จำเป็นต้องลำบาก
แต่...
ทุกการเดินทางมีความหมาย
เราเชื่ออย่างนั้น :)